ผลบังคับใช้ที่แตกต่างกันระหว่าง พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 กับ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550
เรามีตัวอย่างคดีความจำนวนหนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นผลบังคับใช้ที่แตกต่างกันระหว่าง
พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 กับ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ในมิติของการละเมิดสิทธิ
เสรีภาพบุคคลของสื่ออย่างน่าสนใจ
ในกรณีของ พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 มีคดีความเมื่อปี 2549
ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ส่งคำโต้แย้งของจำเลย คือ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) โดยนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ และพวกรวม 2
คนขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 264 กรณี พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 มาตรา
48 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 39 และ 41 หรือไม่
ต่อมา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2549 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า
กฎหมายได้ให้ความคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพแก่บุคคลธรรมดาและสื่อมวลชนไปพร้อมๆ กัน โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 39, 41
เป็นการกล่าวถึงการรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์
การโฆษณา และเสรีภาพในการเสนอข่าวของสื่อมวลชนไว้ว่า การจำกัดเสรีภาพดังกล่าว
จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามที่กฎหมายเฉพาะ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ
เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น
หรือเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
ศีลธรรมอันดีของประชาชน
เห็นได้ว่าแม้บุคคลจะมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
แต่ก็ต้องมีขอบเขตมิฉะนั้นอาจใช้สิทธิ และเสรีภาพล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น
และเมื่อพิจารณาถึงบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การพิมพ์ ที่กำหนดความรับผิดของหนังสือพิมพ์
ผู้ประพันธ์ และบรรณาธิการ ที่บัญญัติให้รับผิดร่วมกันในฐานะเป็นตัวการ
เมื่อไปกระทำการละเมิดต่อเสรีภาพของผู้อื่น และถ้าไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์
ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการด้วยนั้น เห็นว่า การเสนอข่าวทางหนังสือพิมพ์
มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก
จึงต้องมีกฎหมายควบคุมการเสนอข่าวมิให้กระทบเสรีภาพของผู้อื่น (ดู ข่าว
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ)
ต่อมาในเดือนธันวาคม 2549 บริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
ขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกว่า
พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484
มาตรา 48 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 39 และ 41 หรือไม่
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไม่รับคำร้อง
เนื่องจากเคยวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วในกรณีของผู้จัดการ ว่า
พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 48 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ 2540
สังเกตได้ว่า
มาตราที่หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับมีปัญหาต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คือมาตรา
48 ซึ่งมีความว่า
เมื่อมีความผิดนอกจากที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นด้วยการโฆษณาสิ่งพิมพ์นอกจากหนังสือพิมพ์
ผู้ประพันธ์ซึ่งตั้งใจให้โฆษณาบทประพันธ์นั้นต้องรับผิดเป็นตัวการ
ถ้าผู้ประพันธ์ไม่ต้องรับผิดหรือไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการ
ในกรณีแห่งหนังสือพิมพ์ ผู้ประพันธ์และบรรณาธิการต้องรับผิดเป็นตัวการ
และถ้าไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์ ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการด้วย
ข้อความว่า “ความผิดนอกจากที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้” โดยทั่วไปแล้วก็คือการ “หมิ่นประมาท” บุคคลอื่นนั่นเอง จะเห็นได้ว่า ทั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและไทยโพสต์
พยายามจะอ้างรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 39 และ 41
เพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดในกรณีที่ข้อเขียนซึ่งตีพิมพ์ออกไปถูกตัดสินว่าหมิ่นประมาทผู้อื่น
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยว่า
พ.ร.บ.การพิมพ์มาตราดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่เป็นปัญหากับสื่อนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่อง “สิทธิเสรีภาพของสื่อ
ก็คือสิทธิเสรีภาพของประชาชน” ตามที่องค์กรสื่อมักยกมากล่าวอ้าง
แต่เป็นกรณีว่า “ผู้พิมพ์” หรือ “บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา” หรืออันที่จริงก็คือหนังสือพิมพ์นั้น ๆ
สมควรจะรับผิดต่อข่าวสาร ข้อความ ในสิ่งพิมพ์ที่ตนเผยแพร่ออกไปมากน้อยแค่ไหน
ในกรณีที่ข้อความนั้น ๆ ไปละเมิดสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น
ซึ่งในกรณีของผู้จัดการที่ยกมาข้างต้น เป็นการที่หนังสือพิมพ์
นำข้อความจากรายการวิทยุมาเผยแพร่ และข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทผู้อื่น
ผู้เสียหายจึงฟ้องทั้งผู้หมิ่นประมาท (ในรายการวิทยุ) และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
และศาลก็ตัดสินให้นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์
บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมีความผิดด้วยเช่นเดียวกับจำเลยที่หนึ่ง
แต่หลังจากมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550
ซึ่งเป็นการยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ไปในตัว
ก็มีตัวอย่างการตัดสินคดีความเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท
ซึ่งก็เป็นคดีที่เคยมีการตัดสินไปแล้วในศาลชั้นต้นซึ่ง พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484
ยังบังคับใช้อยู่ ให้หนังสือพิมพ์ต้องรับผิด แต่เมื่ออุทธรณ์ ศาลก็ยกฟ้อง
ดังข่าวนี้
ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง บก.ผู้จัดการ หมิ่น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
แฉใช้อำนาจผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ จำนองที่ดินกินส่วนต่าง ตั๋วแลกเงิน กว่า 700 ล้านบาท
ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท
แมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กับ นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์
บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยที่ 1 และ 2
ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 29 – 30 พ.ค. 2544 นสพ.ผู้จัดการรายวัน
ลงตีพิมพ์เผยแพร่เนื้อหาการดำเนินรายการทางสถานีวิทยุคลื่น FM 99.5 ของ นายพายัพ วนาสุวรรณ ในทำนองว่า ขณะที่
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
เคยใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ นำที่ดินของครอบครัวไปจำนองกับธนาคารมหานคร
เพื่อออกตั๋วแลกเงิน ก่อนนำไปขายต่อให้ธนาคารกรุงไทยเพื่อกินส่วนต่างมูลค่ากว่า
700 ล้านบาท
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2550 ว่า
จำเลยทั้งสองกระทำผิดจริงตามฟ้องให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4 หมื่นบาท
และได้ให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 4 เดือน และปรับ 4 หมื่นบาท โทษจำคุก
ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า
ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีการบังคับใช้
พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ซึ่งตามมาตรา 3 ได้ให้ยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ฯ
อีกทั้ง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ
ไม่ได้บัญญัติให้บรรณาธิการต้องเป็นผู้รับผิดชอบในข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดอีกต่อไป พิพากษายกฟ้อง
(ที่มา: ข่าว INN)
จากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็ทำให้เห็นว่า หลังการบังคับใช้
พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 แล้ว หนังสือพิมพ์ก็ไม่ต้องรับผิดต่อข้อความหมิ่นประมาทในฐานะที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อความ
พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ซึ่งสื่อมักอ้างว่าเป็น “สิทธิ เสรีภาพสื่อ” จึงสมควรตั้งคำถามมากกว่าว่า
เป็นการปล่อยปละละเลยให้สื่อสามารถละเมิดสิทธิ
เสรีภาพของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องรับผิดหรือไม่ ซึ่งอาจจะส่งผลให้การเผยแพร่ตีพิมพ์ข่าวเป็นไปอย่างหละหลวม
หรือใช้ข่าวสารเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมีช่องทางให้ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย
นอกจากนี้แล้ว ข้ออ้างของสื่อที่มักโฆษณาว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์
2550 เป็นการยกเลิกกฎหมายเผด็จการอื่น ๆ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 3 เช่น ยกเลิก
คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ยกเลิก
คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2519
ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ล้วนไม่มีผลใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 5 นั้น ระบุให้
หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารรายสัปดาห์ สถานีวิทยุกระจายเสียง
ต้องอยู่ในความควบคุมของ “คณะกรรมการตรวจสอบข่าวสารและกรมประชาสัมพันธ์” ซึ่งในทางปฏิบัติ
คณะกรรมการนี้ก็ไม่มีอยู่เพราะยกเลิกไปพร้อมคณะปฏิรูปตั้งนานแล้ว
ส่วนคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 36 ที่กำหนดให้หนังสือพิมพ์ต้องยื่นเรื่องของอนุญาตต่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ก่อนดำเนินการพิมพ์ออกแจกจ่าย ในทางปฏิบัติ
ก็ไม่มีคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอยู่แล้ว
และหนังสือพิมพ์ก็ออกแจกจ่ายไปตามปรกติอยู่แล้ว ไม่ต้องขออนุญาตใคร
เรื่องราวการยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484
และบัญญัติ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550
จึงน่าจะมีความเป็นมาเพื่อผลประโยชน์ของสื่อเอง มากกว่าสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ พร้อมกับผลประโยชน์ของตน สนช.
(สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ที่เป็นตัวแทนสื่อได้สอดไส้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าไปอยู่ในหมวดสิ่งพิมพ์ของ
พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 และเมื่อมีการเสนอร่างแก้ไข
เพื่อขยายการควบคุมไปยังหมวดหนังสือพิมพ์
และเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมจากห้ามสั่งเข้า นำเข้า มาสู่การ “ห้ามพิมพ์” ด้วย สื่อมวลชนก็กลับเลือกปกป้องเฉพาะประโยชน์ของตน โดยไม่สนใจผลกระทบจากการสอดไส้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างซ้ำซ้อนแม้แต่น้อย
ทั้งที่ปัจจุบันกฎหมายอาญามาตรา 112 กำลังเป็นปัญหาในการละเมิดสิทธิ
เสรีภาพของประชาชนอยู่อย่างสาหัส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น